กล่าวกันว่า ผู้รับเหมาสร้างบ้านด้วยการเริ่มต้นจากใต้ดิน คือตอกเสาเข็ม วิศวกรเริ่มสร้างบ้านจากบนสุด คือคำนวณน้ำหนักตั้งแต่หลังคาลงมาสู่เสาเข็ม สถาปนิกเริ่มออกแบบบ้านจากการจัดที่ว่างต่างๆและความสัมพันธ์ระหว่างที่ว่างนั้น แล้วเจ้าของบ้านล่ะ ควรจะเริ่มสร้างบ้านจากอะไร
ข้อควรรู้อันดับแรกสำหรับเจ้าของบ้านคือ งบประมาณ ทั้งนี้ราคาบ้านจะสูงมากน้อยเพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับวัสดุต่างๆที่เลือกใช้ ซึ่งค่าก่อสร้างบ้าน 1 หลังนั้น สามารถแยกแยะงบประมาณสำหรับส่วนต่างๆได้ดังนี้
1. ค่าวัสดุและอุปกรณ์ในส่วนโครงสร้าง เช่น ซีเมนต์ ปูน หิน ทราย ไม้แบบ วงกบ ประมาณ 15-20%
2. ค่าแรงและค่าดำเนินการ 15-20%
3. วัสดุตกแต่ง ไฟฟ้า ประปา สีและอื่นๆ ประมาณ 20-30%
4. เฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ประมาณ 35-45%
จะเห็นได้ว่า งานโครงสร้างเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงบประมาณเท่านั้น ไม่ใช่ส่วนใหญ่ ดังนั้น การลดขนาดโครงสร้างจึงไม่ช่วยให้ลดราคาก่อสร้างลงได้มากนัก ซ้ำยังก่อให้เกิดอันตรายในอนาคตได้อีกด้วย
โครงสร้างและองค์ประกอบส่วนต่างๆของบ้าน
1. เสาเข็ม
เสาเข็มมีหน้าที่รับน้ำหนักอาคารแล้วถ่ายลงสู่ชั้นดิน เสาเข็มที่ใช้กับอาคารขนาดเล็กเช่นบ้านนั้น มี 2 แบบคือ
1.1 เสาเข็มคอนกรีตระบบตอก
ใช้กับอาคารทั่วไป ความสั้นยาวของเข็มขึ้นอยู่กับลักษณะดินของพื้นที่นั้นๆและขนาดของอาคาร โดยทั่วๆไป บ้านเดี่ยวที่ปลูกสร้างในเขตกรุงเทพฯจะใช้ความยาวเข็มอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร ส่วนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเข็มขึ้นอยู่กับการคำนวณของวิศวกร
1.2 เสาเข็มเจาะ
ใช้ระบบเจาะดิน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเข็มขึ้นอยู่กับการคำนวณของวิศวกรเช่นกัน แล้วจึงเทคอนกรีตลงในรูที่เจาะเอาไว้ ซึ่งเสาเข็มประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าเสาเข็มตอกประมาณ 3 เท่า จึงนิยมใช้เฉพาะบริเวณที่ไม่สามารถขนส่งเสาเข็มไปในที่ก่อสร้างได้ หรือบริเวณที่แรงสั่นสะเทือนของการตอกเข็มจะทำความเสียหายให้แก่อาคารข้างเคียงเท่านั้น
2. ระบบโครงสร้าง
ระบบโครงสร้างสำหรับบ้านเดี่ยวทั่วไปมักก่อสร้างด้วยระบบเสารับน้ำหนัก และวัสดุที่นิยมใช้ในปัจจุบันก็เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับระบบโครงสร้างนี้คือ ระยะห่างของเสาคอนกรีตจะสามารถวางระยะได้ห่างกว่าเสาไม้ แต่คานก็จะต้องเพิ่มความลึกตามระยะห่างของเสาด้วย เช่นเสาห่าง 5 เมตร ต้องใช้คานลึก 50 ซม. ในขณะที่เสาห่าง 8 เมตร ก็ต้องใช้คานลึก 80 ซม. เป็นต้น ทุกระยะห่างของช่วงเสาที่เพิ่มขึ้นจึงส่งผลให้บ้านสูงขึ้น และต้องเพิ่มขั้นบันไดตามไปด้วย
3. หลังคา
รูปทรงของหลังคาสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังนี้คือ
3.1 หลังคาแบน
นิยมก่อสร้างด้วยคอนกรีตซึ่งเป็นวัสดุที่ทำงานได้ง่ายในปัจจุบัน หลังคาในลักษณะนี้ควรระวังเรื่องการรั่วซึมของน้ำ จึงควรดูแลให้มีการผสมน้ำยากันซึมลงในเนื้อคอนกรีต ทั้งนี้การเทพื้นควรระมัดระวังให้ไม่เกิดแอ่งซึ่งจะทำให้น้ำขังและเทพื้นคอนกรีตให้ลาดเอียงเล็กน้อยประมาณ 1:100 เพื่อลงสู่ท่อระบายน้ำ ซึ่งท่อระบายน้ำควรมีขนาดใหญ่พอที่จะระบายน้ำจากพื้นที่รับน้ำ และเดินท่อเป็นแนวตรงหรือมีการหักงอน้อยที่สุด
นอกจากนี้ การป้องกันความร้อนของหลังคาแบนก็เป็นอีกประเด็นที่ควรสนใจ เนื่องจากคอนกรีตเป็นวัสดุที่สามารถอมความร้อนไว้ได้ดี เมื่อมารวมกับลักษณะหลังคาที่แบนและทำให้ได้รับความร้อนตลอดทั้งวันแล้ว ก็จะทำให้ห้องที่อยู่ด้านล่างร้อนมาก การแก้ไขวามารถทำได้ด้วยการใช้แผ่น Solar Slab วางบนหลังคา เพื่อลดความร้อนที่จะเข้าสู่อาคารให้น้อยลง หรือจะใช้วิธีวางฉนวนป้องกันความร้อนใต้หลังคา (เหนือฝ้าเพดาน) ก็สามารถช่วยลดความร้อนเข้าสู่อาคารได้ทางหนึ่ง
3.2 หลังคาลาดเอียง
เป็นรูปแบบหลังคาที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณและยังนิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นทรงหลังคาที่สามารถระบายความน้ำได้ดี ช่องว่างใต้หลังคาทำให้เกิดช่องอากาศ ทำให้ความร้อนจากหลังคาไม่ถ่ายเทเข้าตัวอาคารได้เร็วนัก
วัสดุที่ใช้มุงหลังคาลาดเอียงสามารถเลือกใช้ได้หลากหลาย ดังนี้
หลังคาไม้หรือที่เรียกกันว่าแป้นเกล็ด
เป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็กเหมือนกระเบื้องเหมือนบ้านสมัยโบราณ ซึ่งจำต้องซ้อนแผ่นถี่และมุมหลังคาต้องมีความชันมากพอสมควรเพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำ
หลังคากระเบื้องดินเผา
มีทั้งชนิดเคลือบผิวและไม่เคลือบ ซึ่งเมื่อใช้ไปนานๆจะเกิดคราบน้ำฝน ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านโบราณ
กระเบื้องคอนกรีต
มักผลิตขนาดประมาณ 1 ตารางฟุต มีทั้งชนิดที่เป็นลอนเหลี่ยม ลอนโค้งและแบบแผ่นเรียบ ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่มีการผลิตครอบสันและตัวจบงานมาให้ ทำให้งานดูเรียบร้อยสวยงาม ทั้งนี้ การมุงกระเบื้องควรมุงเป็นมุมไม่น้อยกว่า 35 องศาเพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำ
กระเบื้องซีเมนต์ใยหิน หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่ากระเบื้องลอนคู่
ซึ่งในปัจจุบันมีการผลิตให้มีสีสันและรูปลอนหลากหลายมากขึ้น สามารถมุงหลังคาที่มีองศาความลาดเอียงน้อยๆได้
หลังคาเหล็ก
ปัจจุบันมีการผลิตที่หลากหลาย ส่วนมากนิยมใช้ในที่ที่ต้องการคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ควรต้องมีการป้องกันเสียงและความร้อนจากหลังคาที่จะเข้าสู่อาคารด้วย
4. ผนัง
วัสดุที่ใช้เป็นผนังในปัจจุบันประกอบไปด้วย
4.1 ผนังไม้
ให้ความรู้สึกสวยงามและอบอุ่น แต่ก็มีข้อเสียเรื่องการรบกวนของปลวกและราคาที่สูงขึ้น ปัจจุบันจึงมีการผลิตแผ่นวัสดุที่เรียกว่าไม้สังเคราะห์ขึ้นมาใช้ เช่นที่เรียกกันว่า คอนวูดหรือไม้เชอร่า เหล่านี้สามารถใช้งานแทนไม้ได้ดีพอสมควรแต่ก็ให้ผิวสัมผัสที่แตกต่างจากไม้อยู่บ้าง
4.2 ผนังยิปซัม
ผนังยิปซัมจะมีน้ำหนักเบา ไม่บิดงอและไม่มีปัญหาเรื่องปลวก เมื่อติดตั้งแล้วดูเรียบร้อยสวยงาม แต่ควรระมัดระวังเรื่องการเจาะหรือตอกผนังเพื่อแขวนสิ่งของ เนื่องจากตัวผนังยิปซัมไม่สามารถรับน้ำหนักได้มากนัก
4.3 ผนังอิฐมวลเบา
มีคุณสมบัติคือ น้ำหนักเบา สามารถกันความร้อนและเสียงได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนที่ความชื้น เนื่องจากอิฐมวลเบาคือการนำคอนกรีตมาเติมฟองอากาศเพื่อให้มีน้ำหนักเบา ดังนั้น หากกระบวนการผลิตมีการเติมฟองอากาศมากกินไป จะทำให้ความชื้นซึมผ่านก้อนอิฐได้ง่าย
4.4 ผนังก่ออิฐฉาบปูน
เป็นผนังที่ใช้อยู่ทั่วไป ทำง่าย ราคาถูกและใช้ช่างทั่วไปทำได้ ทั้งนี้ มีข้อควรระวังอยู่เล็กน้อยคือ
4.4.1 เมื่อเป็นผนังที่มีความสูงมากกว่า 3 เมตรขึ้นไป จะต้องมีคานทับหลังเพื่อความแข็งแรง
4.4.2 เมื่อเป็นผนังที่มีความยาวมากกว่า 4 เมตรขึ้นไป จะต้องมีเสาเอ็นเพื่อความแข็งแรง
4.4.3 ขอบประตูหน้าต่างต้องมีเสาเอ็นและคานทับหลังเสมอ เพื่อความแข็งแรงและป้องกันการแตกร้าวที่มุมประตูหน้าต่าง
4.4.4 ก่อนฉาบปูนควรเดินท่อต่างๆให้เรียบร้อยก่อน แล้วใช้เหล็กตะแกรงบุบริเวณท่อเพื่อป้องกันการแตกร้าวของปูนฉาบ
5. ฝ้าเพดาน
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามการใช้งานคือ
5.1 ฝ้าเพดานภายนอก
สามารถเลือกใช้วัสดุได้หลายชนิด ตั้งแต่ไม้ แผ่นยิปซัมบอร์ดชนิดกันน้ำ โลหะเคลือบสีและแผ่นไม้สังเคราะห์ต่างๆ อย่างไรก็ดี ฝ้าเพดานภายนอกควรมีช่องให้สามารถระบายอากาศได้ เพื่อลดความร้อนที่สะสมในช่องว่างหลังคา
5.2 ฝ้าเพดานภายในอาคาร
นิยมใช้แผ่นยิปซั่มบอร์ด เนื่องจากมีราคาถูก น้ำหนักเบา เมื่อติดตั้งแล้วดูเรียบร้อยสวยงาม และสามารถดัดโค้งหรือทำเล่นระดับได้ง่าย
6. พื้น
วัสดุที่ใช้เป็นพื้นโครงสร้างในปัจจุบันนิยมใช้พื้นคอนกรีต ซึ่งมีทั้งแบบหล่อในที่และแบบสำเร็จรูปให้เลือกใช้
6.1 พื้นคอนกรีตชนิดหล่อ
ในที่ เป็นพื้นที่ใช้เวลาในการก่อสร้างนานและพื้นมีน้ำหนักมาก นิยมใช้กับพื้นที่จำเป็นต้องมีการวางท่อหรือเจาะทำช่องบันได เนื่องจากสามารถกำหนดรูปร่างของพื้นที่ที่จะเทได้ และสามารถกันการรั่วซึมได้ดีกว่า
6.2 พื้นคอนกรีตสำเร็จรูป
มีทั้งแบบท้องเรียบและแบบลูกฟูก นำมาวางบนคานก่อนจะวางตะแกรงเหล็กกันร้างแล้วเทคอนกรีตทับหน้า แล้วจึงปูพื้นด้วยวัสดุแต่งพื้นอีกครั้งหนึ่ง สามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าพื้นคอนกรีตแบบหล่อในที่
7. ประตูหน้าต่าง
นอกจากจะเป็นทางผ่านเข้าออกอาคารแล้ว ประตูหน้าต่างยังเป็นช่องให้อากาศถ่ายเทเข้าออก รวมทั้งการปิดกั้น สร้างความเป็นส่วนตัวในบางครั้งอีกด้วย จึงมีทั้งบานทึบ บานกระจกและรูปแบบการเปิดที่หลากหลาย เช่น
7.1 บานเปิด
ทั่วไปแล้วจะยึดด้วยบานพับ ซึ่งถ้าหน้าต่างหรือประตูมีขนาดใหญ่เกินไป จะทำให้บานพับต้องรับน้ำหนักมาก เกิดปัญหาบานตกได้ บานเปิดก็มีข้อดี ที่สามารถระบายอากาศได้เต็มที่
7.2 บานเลื่อน
มีข้อเสียคือสามารถระบายอากาศได้เพียง 50% แต่ก็มีข้อดีตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะเอื้อมหรือการรับน้ำหนักของบานพับ
7.3 บานเฟี้ยม
เปิดได้เต็มพื้นที่ของช่องเปิด แต่การใส่มุ้งลวดจะยุ่งยากกว่าประตูหน้าต่างแบบอื่นๆ
7.4 บานเกล็ด
ซึ่งตัวเกล็ดอาจจะเป็นกระจกใส ไม้ หรือกระจกฝ้าตามแต่การใช้งาน มีทั้งชนิดปรับมุมได้และแบบติดตาย
สำหรับวัสดุที่ใช้ทำประตูหน้าต่างก็มีหลากหลายทั้งไม้จริง ไม้ประกอบ ไม้อัด อลูมิเนียมและกระจก หรือพีวีซีกับกระจก ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปตามวัสดุที่ใช้และบริษัทผู้ผลิต
8. วัสดุผิวพื้น
มีให้เลือกหลายชนิดและราคา ดังนี้
8.1 พื้นซีเมนต์ขัดมัน
เป็นพื้นคอนกรีตที่มีการขัดให้เรียบ ผสมน้ำยากันซึม มักใช้กับที่จอดรถ หรือลานซักล้างที่ไม่ต้องการความสวยงามมากนัก
8.2 พื้นกระเบื้องยาง
น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาถูก แต่ต้องระวังเรื่องความชื้น เพราะจะทำให้แผ่นกระเบื้องยางหลุดร่อนได้
8.3 พื้นไม้ปาร์เก้ต์
มีหลายชนิด ตั้งแต่การนำเศษไม้ชิ้นเล็กๆมาเรียงต่อกัน จนถึงขนาดใหญ่ 4”x12” นำมาเข้ารางลิ้น สามารถย้อมทำสี หรือเลือกใช้สีธรรมชาติของไม้แต่ละชนิดได้ สิ่งที่ควรระวังคือการป้องกันความชื้นซึ่งจะทำให้แผ่นไม้หลุดร่อน รวมทั้งกันป้องกันปลวกกัดกินเนื้อไม้อีกด้วย
8.4 พื้นกระเบื้องเคลือบ
มีให้เลือกใช้หลากหลาย ทั้งขนาด สีสัน ผิวสัมผัส และราคา ปัจจุบันมีการทำเลียนแบบหินประเภทต่างๆ เช่น หินแกรนิต หินอ่อน อีกด้วย
8.5 พื้นหินขัด
ทำจากซีเมนต์ขาวผสมหินสีหรือกรวดสี แล้วขัดด้วยเครื่องจนเรียบ สามารถทำเป็นลวดลายต่างๆได้ มีความทนทานสูง แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้มากนัก
8.6 พื้นหินแกรนิตและหินอ่อน
มีหลายราคา ขึ้นอยู่กับขนาด สี แหล่งที่มา ให้ความรู้สึกโอ่อ่า หรูหรา แต่หินอ่อนจะทนการขูดขีดและสารเคมีได้ไม่มากนัก จึงควรใช้งานอย่างระมัดระวัง